จากบันทึกส่วนตัวของผมที่เริ่มเขียนตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2537
ผมได้ตั้งเกณฑ์การจ้างงานให้ครอบคลุมคุณสมบัติของผู้สมัครดังต่อไปนี้
คือ ความเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบ ความทะเยอทะยานและแรงขับในชีวิต พลังในการทำงาน
ความสามารถที่จะจัดการกับความกดดัน การทำงานเป็นทีม วิสัยทัศน์ ความเชื่อ
และคุณค่าส่วนตัว ซึ่งหมายถึงการพิจารณาว่า พนักงานคนนั้นเป็นคนดีหรือไม่
นับแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบัน เราไม่สามารถตอบโจทย์มากมายเหล่านี้ได้ง่ายนัก
ดังนั้นในปี 2539 เราจึงได้ลดทอนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ลงเหลือเพียง 3 เกณฑ์ใหญ่
ๆ คือ แรงขับสู่ความสำเร็จขั้นสูงสุด ความสามารถในการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต
และสิ่งสุดท้ายคือ ทัศนคติต่อคน งาน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากเรามองเห็นว่าผู้สมัครไม่สามารถตอบโจทย์ทั้ง
3 ประเด็นหลักนี้ได้เป็นที่น่าพอใจ ก็จะไม่มีการว่าจ้างงานเกิดขึ้น
แรงขับสู่ความสำเร็จ
จากประสบการณ์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้ว่าแรงขับสู่ความสำเร็จของมนุษย์
เป็นเครื่องแสดงได้ว่าคน ๆ นั้นสามารถไปได้ไกลเพียงใด แรงขับนี้จะเป็นตัวกำหนดก้าวย่างต่างๆ
ในชีวิต คนเราสามารถจะเป็นอะไรก็ได้แทบทั้งนั้นถ้าเรามีความปรารถนาที่แรงกล้าพอ
งานที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ก็สำเร็จลงได้เพราะมนุษย์มีแรงขับอันกล้าแกร่ง
การเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ คงเป็นไปไม่ได้หากคนเราไม่มีแรงขับเพียงพอที่จะทำสิ่งนั้นอยู่ในใจ
ถ้ามองดูคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
เราจะเห็นว่าความสำเร็จของพวกเขามีรากฐานมาจากแรงขับสู่ความสำเร็จนั่นเอง
เขาเหล่านั้นล้วนได้รับแรงบันดาลใจที่อยากจะเป็นคนสำคัญ หรือทำอะไรสักอย่างในชีวิต
ความใฝ่ฝันที่จะเป็น หรือทำอะไรสักอย่าง มักเป็นการเดินทางที่เริ่มต้นตั้งแต่เราเป็นเด็กเล็ก
ๆ แรงขับที่คุณมีจะผลักดันคุณให้ก้าวไปข้างหน้า การมีชีวิตอยู่รอดและมีชัยชนะในชีวิตที่วุ่นวายแล้วเต็มไปด้วยการแข่งขันได้
เราต้องมีแรงขับอยู่ในใจ
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็นคนที่มีความรู้
และมีความสามารถมากมายที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเขาไม่มีแรงขับเพียงพอที่จะผลักดันเขาไปให้ถึงจุดหมาย
บางคนที่มีชีวิตรอดในสังคมอาจจะไม่มีอะไรเลย ทั้งความรู้ ความสามารถ
หรือแม้แต่ความสามารถ หากแต่เขามีแรงขับมากพอที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดได้
ดังนั้น ในการจ้างงาน เราจึงต้องตรวจสอบแรงขับในใจของผู้สมัครแต่ละคน
ว่ากล้าแกร่ง และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และวัฒนธรรมของบริษัทเราหรือไม่
ความสามารถสำหรับการทำงานในปัจจุบันและอนาคต
ความสามารถคือศักยภาพของมนุษย์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เราจึงต้องการผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดมาทำงาน
เพื่อที่ว่าเราจะสามารถเติบโตเร็วกว่าคนอื่นๆ เราต้องการคนที่เหมาะสมสำหรับการทำงานระยะยาว
เราจึงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอนเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งประวัติย่อที่ตรงตามคุณสมบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อที่ว่าเราจะได้มีทางเลือกมาก และผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดจึงจะได้ตำแหน่งนั้นไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งรู้สึกว่าตนเองสู้บริษัทที่ใหญ่กว่าหรือมีชื่อเสียงมากกว่าไม่ได้
และไม่สามารถดึงดูดผู้สมัครที่เก่งๆ และมีคุณสมบัติครบถ้วนได้ ในทำนองเดียวกัน
บริษัทที่มีชื่อเสียงกว่าก็อาจจะมีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า พวกเขาจะต้องได้ผู้สมัครที่ดีที่สุด
เพราะเขามีชื่อเสียงกว่า
บริษัทก็เหมือนกับคน คือ มีความเท่าเทียมกันโดยพื้นฐาน การจัดลำดับของบริษัทจึงไม่ได้ดูจากผลกำไร
ชื่อเสียง หรือภาพลักษณ์ภายนอก หากแต่เราจัดอันดับบริษัทโดยดูจากการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงานของบริษัท
บริษัทที่มีชื่อเสียง มั่นคง และใหญ่โตนั้นเป็นผลมาจากจำนวนผู้ถือหุ้น
ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวกับพนักงานเลย ดังนั้นคำถามสำคัญที่เราควรถามคือ
คุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงานในแต่ละบริษัทคืออะไร เราไม่ได้เปรียบเทียบชีวิตของพนักงานจากฐานรายได้
เหมือนที่เราไม่ได้วัดบริษัทจากผลกำไร ทุกคนต้องการความสุขและสมควรได้รับสิ่งนั้น
โดยไม่จำเป็นว่า พนักงานคนนั้นทำงานให้กับบริษัทใด สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับนโยบายทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทที่จะต้องสร้างคุณภาพชีวิตของพนักงานของตน
กลับมาที่เรื่องของเกณฑ์...
ความสำเร็จคือเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถของคน ดังนั้นเมื่อเราเชื่อมั่นว่าเกณฑ์การให้คะแนนของมหาวิทยาลัยนั้นดี
และได้มาตรฐานอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีการทดสอบอย่างอื่นอีก
เพราะระบบการให้คะแนนของมหาวิทยาลัยสามารถบอกได้ว่า คนที่ได้เกรดที่สูงกว่าแสดงให้เห็นความสามารถของเขาที่จะเข้าใจ
วิเคราะห์ และจัดการงานต่าง ๆ รวมทั้งแสดงระดับความรับผิดชอบของคน
ๆ นั้นที่มากกว่าคนอื่นๆ การสอบโดยเฉลี่ยประมาณ 50 ครั้งในระหว่างการเรียน
4 ปีในมหาวิทยาลัยน่าจะเพียงพอที่จะวัดความสามารถที่แท้จริง เพราะในมหาวิทยาลัย
พวกเขาต้องพึ่งตนเอง ผ่านการทดสอบที่ไม่ใช่เพียงการทดสอบภายใต้สถานการณ์เฉพาะที่บริษัทจัดขึ้นเท่านั้น
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน ความสำเร็จในที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญ
เรียกได้ว่าสำคัญสำหรับเรามากกว่าประสบการณ์ทำงานเป็นปี ๆ เพราะความสำเร็จแสดงว่าคน
ๆ นั้นจะพัฒนาได้ไกลเท่าไร การพัฒนาในอนาคตเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากความสามารถที่เขามีในปัจจุบันแล้ว
เรายังต้องมองศักยภาพในอนาคตของเขาด้วย
ระหว่างการสัมภาษณ์ เราจะพยายามให้ผู้สมัครขายจุดเด่นของตนเองให้ได้
โดยให้โอกาสเขาได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง และเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสมควรได้รับเลือกให้มาทำงานกับเรา
เรากลับไม่นิยมจัดวิธีการทดสอบอย่างเป็นทางการ เพราะเราไม่เชื่อว่าวิธีการทดสอบจะสามารถตัดสินความสามารถของผู้สมัครและบอกได้ว่าเขาเต็มใจจะทุ่มเทให้กับงานของบริษัทมากน้อยเพียงไร
แต่เราใช้วิธีการสัมภาษณ์ เราต้องการให้เขาบอกเราว่าเขามองว่าตัวเขาเป็นอย่างไร
เพราะเขาเท่านั้นที่จะพูดเรื่องนี้ได้ดีกว่าใคร น่าเสียดายที่ผู้สมัครส่วนใหญ่ไม่เตรียมตัวให้พร้อมตอบคำถามแบบนี้
เรารู้ว่าแต่ละคนต้องใช้เวลาคิด พิจารณาให้ดีก่อนจึงจะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทัศนคติต่อผู้คน งาน และสิ่งแวดล้อม
ทัศนคติเป็นตัวชี้นำชีวิตคน การตัดสินใจทั้งหมดของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจที่เรามีต่อคน
งานและสิ่งแวดล้อมของเรา ความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทัศนคติเป็นตัวควบคุมทิศทางของความสามารถอีกที
บางครั้งคนที่มีความสามารถก็ล้มเหลวเอาง่าย ๆ เพราะไม่มีทัศนคติที่ดีที่จะทำให้ใช้ความสามารถเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
เรามักจะพบคนที่มีความสามารถได้ง่ายกว่าคนที่มีทัศนคติที่ดี
บางครั้งคนที่มีความสามารถที่สุดก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งที่ว่าง
เพราะเขาอาจมีปัญหาอื่นที่เห็นได้ชัดในที่ทำงาน อาทิ การยึดตัวเองเป็นหลักโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น
การมีทัศนคติที่ดีเลิศเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันทำหน้าที่เป็นตัวบ่งบอกพื้นฐานจิตใจของคนเรา
บางครั้ง เราสามารถหาคนที่มีทัศนคติที่ดีได้
โดยพิจารณาจากงานอดิเรกและความสนใจของเขา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราพิจารณาด้วยก็คือ
ความสัมพันธ์กับเพื่อนและผู้ร่วมงาน หากบริษัทได้พนักงานที่มีทัศนคติที่ดี
ความขัดแย้งและปัญหาเรื่องการเมืองที่ไม่จำเป็นในบริษัทจะลดลงได้มาก
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างทัศนคติกับแรงขับแล้ว
ทัศนคติมีน้ำหนักมากกว่า เพราะคนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวการทำงาน
จะทำให้ผู้สัมภาษณ์ประทับใจได้ดีกว่า เรามักจะอยากทำงานกับคนที่เรารู้สึกว่าเราสามารถทำงานด้วยได้