และผลจากการได้รับการฝึกฝนทางวิชาการก็คือ
ผู้สมัครมักมีความคิดเป็นระบบมากกว่า
ประเทศที่ผู้สมัครจบการศึกษาทั้งหลายเช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือประเทศไทย
และชื่อของสถาบันการศึกษาเช่น มหาวิทยาลัย Harvard มหาวิทยาลัย South Queensland
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นเครื่องมือบอกระบบการศึกษาที่ผู้สมัครคนนั้นได้รับมา
การศึกษาในประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีชื่อเสียงนั้นจะน่าเชื่อถือกว่า และชื่อของมหาวิทยาลัยก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยระดับหนึ่งในสิบ หรือหนึ่งในห้าของประเทศ และฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็จะใช้ข้อมูลเหล่านี้
เป็นเกณฑ์ในการให้น้ำหนักคะแนนเฉลี่ยของผู้สมัครนั้นๆ
คณะหรือวิชาเอกที่ผู้สมัครเลือกเรียนก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะว่าถือเป็นความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งงานที่มีอยู่
ผู้สมัครที่จบการศึกษาด้านการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ก็น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดมากกว่าผู้ที่ไม่ได้จบมาทางนี้
ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลส่วนใหญ่จะยึดกับแนวโน้มที่ว่านี้ และตำแหน่งส่วนใหญ่ที่มีก็มักจะต้องการผู้สมัครที่สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกัน
มากกว่าผู้ที่จบจากสาขาอื่น
เกรดเฉลี่ยบอกอะไรเราได้
เกรดเฉลี่ยส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นระดับใหญ่ๆ 4 ระดับคือ ดีมาก (A) ดีกว่ามาตรฐาน(B)
ตามมาตรฐาน(C) และต่ำกว่ามาตรฐาน (D) ซึ่งระยะเวลา 4 ปีกับการสอบมากมายถึงประมาณ
50 ครั้ง ก็น่าจะเพียงพอในการวัดความสำเร็จของผู้สมัคร อย่างไรก็ดี เกรดเฉลี่ยยังสามารถให้ข้อมูลเหล่านี้กับฝ่ายทรัพยากรบุคคล
1)
ระดับสติปัญญา : เกรดเฉลี่ยบอกแนวโน้มว่าผู้สมัครคนนั้นมีความสามารถเพียงใดในการแก้ไขปัญหา
และมีการตัดสินใจได้ดีเพียงใด
2) ความขยันหมั่นเพียร : เกรดเฉลี่ยบอกได้ว่าผู้สมัครคนนั้นมีความมานะ
อดทน และทุ่มเทเพียงใด
3) การพยายามที่จะเป็นเลิศ : เกรดเฉลี่ยจะบอกได้ว่าผู้สมัครจะสามารถไปได้ไกลเท่าไร
4) สำนึกในบทบาท / ความรับผิดชอบของตน : เกรดเฉลี่ยจะบอกว่าผู้สมัครมีความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของ
ตนเพียงใด ระหว่างศึกษาเล่าเรียน
5) ความชอบการแข่งขัน : คะแนนเฉลี่ยเป็นหนทางหรือโอกาสในการเอาชนะคนอื่น
6) ความสามารถในการสื่อสาร : ความสามารถในการเข้าใจบทเรียนก็น่าจะเกี่ยวโยงกับความเข้าใจงาน
ที่ตนได้รับมอบหมาย
สำหรับผู้ที่คะแนนเฉลี่ยไม่ดี
1) งานส่วนใหญ่ไม่ได้สำเร็จได้ด้วยซูเปอร์แมน หรือ ซูเปอร์เกิร์ล งานโดยมากก็ต้องการเพียงคนที่มีความสามารถตามเกณฑ์มาตรฐาน
ดังนั้นฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงไม่จำเป็นต้องมองหาผู้สมัครที่มีความสามารถเหนือธรรมดา
2) เกรดเฉลี่ยไม่ใช่ข้อมูลอย่างเดียวที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะพิจารณา แต่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องพิจารณาด้วยว่าบุคคลนั้นๆ
จะสามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของบริษัทได้หรือไม่
3) ไม่ว่าคะแนนเฉลี่ยของคุณจะดีหรือไม่ ในที่สุดคุณก็จะได้งานที่เหมาะสมกับคุณอย่างแน่นอน
ใบแจ้งผลการเรียนก็ช่วยประกอบการพิจารณาได้
ใบแจ้งผลการเรียนจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาหรือวิชาที่ศึกษาของคนนั้นๆ
ระยะเวลาก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่เราควรพิจารณา บางครั้งเราจะเห็นว่าผู้สมัครเรียนได้ไม่ดีในปีหรือสองปีแรก
แต่กลับพัฒนาขึ้นมาได้มากในปีที่สามและปีที่สี่ ใบแจ้งผลการเรียนยังสามารถแสดงให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของผู้สมัครในการเรียนวิชาแต่ละวิชา
คนบางคนมีความสามารถในวิชาบางวิชา และไม่มีเอาเสียเลยในวิชาอื่นๆ การศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่สามารถครอบคลุมทักษะทั้งหมดที่จำเป็นในการทำงานจริง
ดังนั้นฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงไม่ควรจะให้คะแนนเฉลี่ยมาเป็นเครื่องวัดและตัดสินผู้สมัครโดยไม่สนใจ
ความสามารถของผู้สมัคร พยายามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ผู้สมัครเขียนเพื่อดูว่าผู้สมัครอธิบายตนเองว่าอย่างไร
หากว่าคะแนนเฉลี่ยไม่สูงนัก อย่างน้อยหากผู้สมัครสามารถได้เกรด A ในบางวิชาก็น่าจะเพียงพอ
เพราะเกรด A ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ ดังนั้นเกรด A จึงแสดงถึงความสามารถของผู้สมัครในรายวิชานั้นๆ
และแสดงให้เห็นถึงระดับความสำเร็จของผู้สมัคร ผู้สมัครบางคนอาจไม่เคยได้เกรด
A เลย ซึ่งหมายความว่าหากตำแหน่งงานที่มี ไม่ต้องการคนที่มีความสำเร็จระดับสูง
ก็อาจจะเหมาะสมกับผู้สมัครดังกล่าว
วิธีการที่ผู้สมัครได้มาซึ่งคะแนนเฉลี่ยก็สำคัญเหมือนกัน
ในส่วน "จุดแข็งของผู้สมัคร" ของ Super Resume นั้นยังบอกด้วยว่าผู้สมัครได้ผลการเรียนเหล่านั้นมาได้อย่างไร
ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ผู้สมัครมักต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเพื่อให้ได้ผลการเรียนดีๆ
แล้วผู้สมัครจะต้องเสียอะไรไปบ้าง ตามปกติผู้ที่ได้คะแนนดีมักจะเสียเวลาในการสนุกกับงานอดิเรก
หรือความสนใจของตนที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของผู้สมัครไป เขามักจะไม่มีเวลาให้เพื่อน
และสังคมรอบข้าง ดังนั้น เราอาจจะยังไม่สามารถแน่ใจในทักษะการเข้าสังคมของผู้สมัคร
เราจึงต้องพยายามหาให้เจอ และเราอาจจะเจอจุดอ่อนบางประการของผู้สมัครที่ไม่ได้แสดงออกมาแต่แรกก็ได้
|